คุณทราบไหมว่าการฝึกโยคะนั้นมีประโยชน์นานาประการไม่ใช่เป็นเพียงแค่การออกกำลังกายเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายเท่านั้น
แต่ยังช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนดี
สมองปลอดโปร่งเพราะมีโลหิตไปหล่อเลี้ยง ช่วยให้ต่อมต่างๆทำงานได้ดีเพราะได้รับการกระตุ้น ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดี
ทำให้การเคลื่อนไหวสง่างามทุกท่วงท่า ผู้ที่ฝึกโยคะเป็นประจำจะมีใบหน้าอ่อนเยาว์และผิวพรรณที่ผ่องใสเพราะระบบเลือดทำงานดี
มีรูปร่างที่สมส่วน
โรคภัยไข้เจ็บจะคุกคามผู้ที่ฝึกโยคะยากเนื่องจากระบบการทำงานภายในร่างกายค่อนข้างแข็งแรง
นอกจากนี้การฝึกโยคะยังช่วยป้องกันอาการปวดเมื่อยต่างๆตามร่างกายได้
เพราะการฝึกทุกครั้งจะเป็นการคลายเส้นเอ็นร่างกายทุกเส้น
ดังนั้นผู้ฝึกโยคะเป็นประจำจึงไม่มีอาการเส้นตึง
ไม่ว่าทำสิ่งใดก็ยากที่จะเกิดอาการปวดเมื่อย ดังนั้นในบทนี้ดิฉันจึงขอนำเสนอการฝึกโยคะอย่างง่ายๆเพื่อลดอาการเส้นตึงอันจะนำมาสู่กรเกิดอาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ในการฝึกโยคะมีท่าฝึกหลายท่ามีผลต่อร่างกายแตกต่างกันไป
แต่หากต้องการฝึกเพื่อลดการเกิดอาการตึงของเส้นเอ็น
อาจใช้เพียงท่าพื้นฐานหรือท่าอบอุ่นร่างกายของการฝึกโยคะได้
และท่าฝึกโยคะที่ดิฉันคิดว่าเหมาะสมจะฝึกเป็นประจำเพื่อป้องกันอาการปวดเมื่อยคือ ‘ท่าสุริยนมัสการหรือท่าไหว้พระอาทิตย์’ มีขั้นตอนปฎิบัติดังนี้
ขั้นตอนก่อนฝึกโยคะ
1.อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาด
2.สวมเสื้อผ้าที่กระชับกระเฉง
เลือกเสื้อผ้าที่สามารถยืดหยุ่นได้สะดวก
3.จัดเตรียมอาสนะหรือเสื่อ หรือเบาะรองนุ่มๆสำหรับใช้ยืนฝึก
4.หาสถานที่ฝึกโยคะที่อากาศถ่ายเทสะดวก และเป็นที่โล่ง
5.ควรรับประทานอาหารก่อนทำการฝึกประมาณ 1 ชั่วโมง
ขั้นตอนการฝึกโยคะท่าสุริยะนมัสการหรือท่าไหว้พระอาทิตย์
นั่งสมาธิวอร์มลมหายใจเป็นเวลา
10 นาที
(ก่อนฝึกโยคะทุกครั้งต้องมีการวอร์มการหายใจ วิธีการหายใจแบบโยคะ คือ หายใจเข้าท้องแฟบ
หายใจออกท้องป่อง ควรฝึกปฏิบัติจนกระทั่งทำได้เพราะนี่คือวิธีการหายใจที่ถูกต้อง
จะทำให้เราสูดก๊าซออกซิเจนเข้าปอดได้มากขึ้นและส่งผลให้สุขภาพดีขึ้นจนสังเกตได้ )
1.หลังจากวอร์มลมหายใจแล้ว ยืนตัวยตรง เท้าชิด แขนสองข้างแนบลำตัว (จากนั้นหงายฝ่ามือ หายใจเข้า
วาดแขนทั้งสองขึ้นด้านข้างเหนือศรีษะ ฝ่ามือประกบกัน แขนเหยียดตรง
2.หายใจออก
ก้มลำตัวและศรีษะมาข้างหน้าจนกระทั่งหน้าผากชิดเข่า ขาเหยียดตรง
(หรืองอเข่าเล็กน้อย) ฝ่ามือทั้งสองวางราบกับพื้นด้านหน้า
3.หายใจเข้า เงยคางเล็กน้อย
ตามองไปข้างหน้าขณะเดียวกันพยายามยืดหลังและแขนจนปลายนิ้วมือแตะพื้น
จากนั้นเลื่อนมือมาวางข้างเท้าทั้งสอง ให้ปลายนิ้วมือเสมอปลายนิ้วเท้า
ความกว้างของแขนเสมอความกว้างของไหล่
4.หายใจออก
เลื่อนขาขวาไปด้านหลังจนสุดขาเปิดส้นเท้า
โยกลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย (น้ำหนักอยู่ที่เท้าซ้าย) หายใจเข้า เงยคางขึ้น
และยืดหลังตรง พร้อมกับยกแขนทั้งสองขึ้นเหนือศรีษะ นิ่งค้างไว้สักครู่นับ 1-3
หายใจออก ลดแขนลง มือวางข้างเท้าทั้งสอง
ปลายนิ้วมือเสมอปลายนิ้วเท้า
5.หายใจเข้า เลื่อนขาซ้ายไปชิดเท้าขวาด้านหลังจนสุดขาแขนตั้งตรง
ลำตัวตั้งแต่ศรีษะถึงส้นเท้าเป็นแนวตรง
ส้นเท้าทั้งสองเปิด ฝ่ามือราบกับพื้น
6.หายใจออก งอข้อศอกแนบลำตัว ค่อยๆ ลดลำตัวลง ส้นเท้ายังคงเปิด ออกแรงดันฝ่ามือกดพื้นในท่าวิดพื้น
นิ่งค้างไว้ นับ 1-3 จากนั้นวางลำตัวราบกับพื้น
7.หายใจเข้า วางหลังเท้าแนบกับพื้นเงยหน้า แอ่นอก ดันลำตัวขึ้น
จนกระทั่งหน้าท้อง ต้นขาลอยเหนือพื้น แขนสองข้างเกือบตรง ไหล่ไม่ล
8.หายใจออก ตั้งปลายเท้าขึ้น ยกลำตัว และสะโพกขึ้น จนลำตัวทำมุมเป็นรูปตัววีคว่ำ
กดส้นเท้าลงเท่าที่ทำได้ เหยียดหลัง กดฝ่ามือ ศรีษะและคอผ่อนคลาย
9.หายใจเข้า
ก้าวเท้าขวาไปข้างหน้าให้อยู่ตรงกลางระหว่างมือทั้งสองข้าง
ปลายเท้าเสมอกับปลายนิ้วมือ เปิดส้นเท้าซ้าย โยกลำตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย
(น้ำหนักอยู่ที่เท้าขวา) เงยคางขึ้น
และยืดหลังตรงพร้อมกับยกแขนสองข้างขึ้นเหนือศรีษะ นิ่งค้างไว้ นับ 1-3 หายใจออก ลดแขนทั้งสองข้างลง ปลายนิ้ว แตะพื้นวางข้างเท้าขวา
10.หายใจเข้า ก้าวเท้าซ้ายมาด้านหน้า
จนชิดเท้าขวาเหยียดเข่าตรง (หรืองอเข่าเล็กน้อย)
ก้มลำตัวและศรีษะมาข้างหน้าจนหน้าผากชิดเข่า วางฝ่ามือราบกับพื้นด้านหน้า
ลำตัวเหมือนขั้นตอนที่ 2
11.หายใจเข้า กลับลำตัวสู่ท่ายืนตรงเท้าชิด
(ท่าภูเขา) หงายฝ่ามือ แล้ววาดแขนขึ้นด้านข้างเหนือศรีษะ ฝ่ามือประกบกัน
แขนเหยียดตรง หายใจออก ลดแขนลงแนบลำตัว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น